คงปฏิเสธไม่ได้ว่า จากบรรดาอาหารนานาชาติที่มีให้เลือกทานมากมายในกรุงเทพฯ ไม่มีอาหารชาติไหนเลยที่มีชื่อเสียงมากเท่ากับอาหารญี่ปุ่น และท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นหลากหลายสไตล์ที่คนจะเลือกทานเป็นอาหารค่ำมื้อพิเศษ ยังมีการทานอาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือการทาน “โอมากาเสะ” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เชฟจัดให้” และ “จัดให้” ในที่นี้หมายถึงการที่เชฟจะเป็นคนเลือกให้ว่าวันนี้คนที่มาทานจะได้ทานเมนูใดบ้าง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการทานอาหารแบบอะลาคาร์ท ที่คนทานสามารถเลือกเมนูเองได้ดังใจ แม้ว่าการที่ไม่สามารถเลือกเมนูได้เองนี้อาจสร้างความกังวลให้กับคนทานอยู่บ้าง แต่การทานแบบโอมากาเสะเป็นการเปิดโอกาสให้เชฟมีอิสระในการรังสรรค์เมนูอย่างเต็มที่ ซึ่งอิสระนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งในการดึงเอาปฏิภาณไหวพริบของเชฟออกมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะเดียวกันโอมากาเสะมื้อนี้ก็จะเป็นมื้อที่เหนือความคาดหมาย พร้อมเพลิดเพลินไปกับความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบไปจนเสร็จถึงมือคนทาน
ที่อิชิกะโอมากะเสะ เรารักษาธรรมเนียมการทำอาหารแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเอาไว้ในทุกอณู อิชิกะหมายถึงดอกไม้ที่หนึ่ง ซึ่งดอกไม้ดอกนี้จะทำให้คุณสดชื่นอย่างแท้จริง เมื่อคนกรุงเทพฯ ได้มาทานอาหารที่อิชิกะ ทุกคนจะเห็นโลโก้รูปดอกซากุระโดดเด่น ณ ทางเข้า เป็นอันรู้กันว่าอาหารที่มีดีทั้งรูป, รส และกลิ่นที่โดดเด่นไม่แพ้กัน รอคุณอยู่ข้างในร้าน สำหรับเชฟของอิชิกะแล้ว การทำโอมากาเสะก็เหมือนกับการแสดงและการจัดแสดงผลงานศิลปะ ณ เวทีแห่งนี้จะมีเชฟเป็นตัวเอกของเรื่อง ดำเนินเรื่องโดยอาศัยความเชี่ยวชาญในศาสตร์และศิลป์ของตัวเอง เพิ่มความน่าสนใจให้เรื่องราวของอิชิกะด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มาทานโอมากาเสะ, ให้เกร็ดความรู้, บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงเสียงหัวเราะอีกด้วย และเวทีแห่งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีการแสดงทั่วไป แต่เป็นเวทีที่เชฟต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา เพราะที่จริงอิชิกะโอมากาเสะก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแกลลอรี่จัดแสดงผลงานศิลป์ชั้นครูที่รับประทานได้นั่นเอง
ศิลปะการปรุงอาหารชั้นยอดพร้อมความคิดสร้างสรรค์นี้ได้แผ่ซ่านเข้าไปในทุกอณูในทุกวันที่อิชิกะโอมากาเสะ ทั้งนี้แม้อิชิกะจะเป็นที่ๆ พรั่งพร้อมด้วยสไตล์ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรพร้อมต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่น พร้อมงานศิลป์ที่จัดเตรียมไว้ให้ทุกคนลิ้มรส ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ช่ำชองหรือเพิ่งหัดทานโอมากะเสะเป็นครั้งแรกก็ตาม
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในอาหารที่คนต้องการทานมากที่สุดอย่างหนึ่งในโลก โอมากาเสะจึงต้องใช้วัตถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ในการทำอาหารที่พิเศษกว่าใคร ถ้าพูดถึงวัตถุดิบ ร้านอาหารหลายๆ ร้านในไทยจะนำเข้าปลามาจากญี่ปุ่น แต่มีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้นที่มีคนประจำอยู่ที่ตลาดปลาทำหน้าที่คัดเลือกปลาเพื่อส่งกลับมาโดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นคือที่อิชิกะโอมากาเสะ วัตถุดิบที่อิชิกะนำเข้ามาไม่ได้นำเข้าจากตลาดปลาชื่อดังขนาดใหญ่อย่างตลาดปลาสึกิจิ ณ เมืองโตเกียวเท่านั้น แต่อิชิกะยังเสาะแสวงหาวัตถุดิบชั้นเลิศตามแหล่งจับปลาต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น
วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงเองก็ช่วยส่งเสริมกันอย่างดีกับวัตถุดิบเกรดพรีเมียมของอิชิกะ นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความใส่ใจที่เต็มเปี่ยมของอิชิกะโอมากาเสะในทุกๆอณู ถ้าพูดถึงอุปกรณ์ทำครัวแล้วเชฟโอมากาเสะทุกคนย่อมรู้ดีว่าพวกมันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ทำครัวธรรมดาทั่วไป แต่มันคือเครื่องมือที่ใช้สร้างสรรค์ศิลปะแห่งการทำอาหารอย่างแท้จริง เขียงเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี เขียงไม่ได้ทำให้หน้าที่แค่เป็นตัวกำหนดขนาดของชิ้นเนื้อเท่านั้น แต่เขียงยังส่งผลกับรสชาติของเนื้อด้วยเช่นกัน ดังนั้นที่อิชิกะจึงเลือกใช้เขียงที่ทำจากต้นไม้ Hinoki อายุเกิน 150 ปี จากนากาโน่ ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ทั้งในแง่ของขนาด รูปทรง รวมถึงกลิ่นของเนื้อไม้ มีดเองก็สำคัญไม่แพ้กัน มีดของอิชิกะถูกสั่งทำพิเศษ และหลอมมาจากเหล็กบลูสตีลชั้นยอดจากเมืองซาไก ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้มีดเล่มนี้คมกริบ สามารถหั่นได้อย่างแม่นยำ และไม่เสียรสชาติของวัตถุดิบเลยแม้แต่น้อย
นอกจากความเก่งกาจที่มี อิชิกะยังนำเอาความสมดุลมาสอดประสานในทุกๆ องค์ประกอบเพื่อสร้างประสบการณ์ในแบบอิชิกะ ตั้งแต่การนำเอาความรู้และเทคนิคต่างๆ ผสานเข้ากับการคัดสรรวัตถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ได้อย่างลงตัว เหล่านี้เองที่นำไปสู่แนวทางแห่งความสมดุล นอกจากการรับรู้ทางสายตา, รสชาติ, กลิ่น และการสัมผัส ที่อิชิกะโอมากาเสะได้เพิ่มการรับรู้แห่งสมดุลเข้าไปด้วย จึงทำให้การมาทานโอมากาเสะที่อิชิกะเป็นการพบกับสมดุลอย่างครบวงจรในทุกๆ รายละเอียด
แนวคิดเรื่องความสมดุลนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ในปัจจัยข้างต้นเท่านั้น แต่มันยังขยายไปถึงแนวคิดของร้านนี้ด้วย จริงอยู่ที่เชฟแต่ละคนมีความสำคัญต่อประสบการณ์ของผู้ที่มาทานโอมากาเสะไม่ต่างอะไรกับนักแสดงบนเวที แต่เชฟอคิระ เขมาวุฒานนท์ หัวหน้าเชฟที่อิชิกะกลับเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นเหมือนศิลปินมากความสามารถและพรสวรรค์ที่ยืนอยู่ตรงกลางเวที รายล้อมไปด้วยทีมงานมืออาชีพ คอยควบคุมให้เวทีแห่งนี้น่ามองทั้งซ้ายและขวา การที่พวกเขาสามารถทำงานสอดประสานร่วมกันได้อย่างลงตัวนี้เองที่ก่อให้เกิดความสมดุลที่แท้จริงในทุกๆ ครั้งที่ได้แสดง หรือในอีกแง่หนึ่งเชฟอคิระมองว่าตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับฉาก ที่แม้จะมองจากระยะไกลก็ดูเชี่ยวชาญช่ำชองในการกำกับ หรือจะมองในระยะใกล้ก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แสนวิจิตร ทุกองค์ประกอบนี้เองที่หลอมรวมกันกลายเป็นหัวใจของโอมาเสะอันน่าจดจำ
อิชิกะโอมากะเสะตั้งอยู่ที่ชั้นเอ็ม โรงแรมแรมแบรนดท์โฮเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท 18 มื้อเที่ยงเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 – 14.30 น. ส่วนมื้อเย็นจะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.30 น. คอร์สมีให้เลือกตั้งแต่ราคา 1,700 - 9,700 บาท